สัมผัส “ดาลัด” สวรรค์ของนักกอล์ฟแห่งใหม่ที่เวียดนาม

สถาปนาตัวเองจนกลายเป็นอีกหนึ่งเดสติเนชั่นกอล์ฟของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ “เวียดนาม” โดยเฉพาะเมือง “ดานัง” ที่นักกอล์ฟชาวไทยคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เนื่องจากการแข่งขันกอล์ฟสมัครเล่นหลายรายการก็มักเลือกดานังให้เป็นรางวัลในการจัดทัวร์กอล์ฟให้นักกอล์ฟที่ชนะได้ไปออกรอบเล่นกอล์ฟกัน

ผมเองเคยได้ไปเล่นกอล์ฟที่ดานังเมื่อสองปีก่อน กับทริปที่ได้รับเชิญจากทาง Golfasian และสิ่งที่้ต้องยอมรับเลยคือ คุณภาพของแต่ละสนามรวมทั้งหมด 4 สนามนั้นยอดเยี่ยมมากๆ ประกอบกับเลย์เอ้าท์ที่มีทั้งภูเขา และติดทะเล ทำให้มีความแตกต่างจากสนามกอล์ฟที่เมืองไทยอยู่ไม่น้อย

แต่สิ่งที่ต้องยอมรับว่าไม่แตกต่างเลย คงเป็นเรื่องของสภาพอากาศที่ร้อนไม่แพ้บ้านเรา รวมถึงบางช่วงอาจร้อนกว่าด้วยซ้ำ และเป็นหนึ่งปัจจัยที่เชื่อว่านักกอล์ฟหลายท่านน่าจะคิดเหมือนกันว่า การไปเล่นกอล์ฟที่ดานังอาจจะไม่ได้ความรู้สึกเหมือนไปเล่นกอล์ฟที่ต่างประเทศสักเท่าไหร่ และเมื่อเทียบกันแล้วการไปเล่นกอล์ฟที่สนาม 5 ดาวของหัวหิน อย่าง บันยัน กอล์ฟคลับ ยังเป็นเรื่องที่คุ้มค่ากว่าด้วยซ้ำ หรือที่เชียงใหม่ก็ตามที แทนที่จะต้องลงทุนนั่งเครื่องบินไปตีกอล์ฟถึงดานังซึ่งไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างของการเล่นกอล์ฟที่บ้านเรามากนัก

กระทั่งช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้รับการติดต่อจากทีมงานของ Golfasian ให้เดินทางไปยังเวียดนามอีกครั้ง แต่คราวนี้จุดหมายของเราคือ “ดาลัด” เมืองเล็กๆ ทางภาคใต้ตอนบนของประเทศ ที่ถึงแม้เราจะเดินทางกันในช่วงเดือนมิถุนายน แต่ก็กลับได้รับคำแนะนำให้พกเสื้อกันหนาวติดไปด้วย!

ทริปนี้เราเดินทางกันด้วยสายการบิน Thai Vietjet Air ที่เพิ่งเปิดเส้นทางบินตรงจากสุวรรณภูมิ สู่ดาลัด เมื่อช่วงปลายปี 2017 ที่ผ่านมา โดยให้บริการเที่ยวบินไป-กลับ จำนวน 4 เที่ยวต่อสัปดาห์ ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์และอาทิตย์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาทีต่อเที่ยวบิน

สัมผัสแรกเมื่อเหยียบลงดาลัต บอกได้เลยครับว่า อากาศนั้นเย็นสบายมาก นั่นก็เพราะดาลัดนั้นตั้งอยู่บนที่ราบสูง และถูกโอบล้อมไปด้วยทิวเขา ทะเลสาบ และป่าไม้ จึงทำให้ดาลัดเป็นเมืองที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่แค่ 17 องศาเซลเซียสเท่านั้น

และด้วยอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปีนี่เอง ทำให้ดาลัดเป็นเมืองที่มีธรรมชาติทั้งป่าไม้และดอกไม้ที่สมบูรณ์มาก จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งดอกไม้ และอากาศที่เย็นนี้ยังส่งผลต่อตัวสนามกอล์ฟที่เราจะไปเล่นกันด้วย เพราะอากาศที่เย็นทำให้สนามกอล์ฟที่นี่สามารถปลูกหญ้าพันธ์ “เบ้นท์” (bentgrass) ซึ่งเหมาะปลูกกับเมืองหนาวเท่านั้นในสนามกอล์ฟ และให้ฟีลลิ่งในการเล่นที่ต่างกับหญ้าของบ้านเราอย่างมาก

SAM Tuyen Lam Golf Club ถ่ายรูปมุมไหนก็เหมือนอยู่ยุโรป

สนามกอล์ฟแห่งแรกที่เราไปเยือน รวมถึงได้พักที่โรงแรมของสนามด้วยคือ SAM Tuyen Lam Golf Club ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขา ทำให้มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก และนอกจากอากาศที่เย็นของที่นี่แล้ว ในส่วนของตัวโรงแรมก็ยังออกแบบในสไตล์ของยุโรป ทำให้สนามแห่งนี้นั้นจะได้ความรู้สึกของการมาตีกอล์ฟยังต่างประเทศอย่างแท้จริง นอกจากนี้ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็ดูสวยงาม และถ้าคุณอัพรูปลงโซเชียลมีเดียแล้วไม่ได้บอกใครว่าคุณอยู่เวียดนาม หลายคนจะคิดว่าคุณอยู่ยุโรปอยู่แน่ๆ

SAM Tuyen Lam Golf Club เป็นสนามสไตล์ภูเขาที่เลย์เอ้าท์จะลัดเลาะไปตามหุบเขา โดยฝั่ง 9 หลุมแรกนั้นแฟร์เวย์จะเปิดกว้าง แต่ระยะจะยาวสักหน่อย ส่วนฝั่ง 9 หลุมหลังนั้นสั้นกว่า แต่ก็แคบกว่า และยากกว่ามากเช่นกัน ถ้าหลุดซ้ายหลุดขวามีโอกาสลูกหายสูง

และตามที่เราเกริ่นกันไว้ในคือ หญ้าเบ้นท์ในส่วนของกรีน ที่จะทำให้ช็อตแอพโพรชของคุณนั้นรอยลูกตกค่อนข้างลึก รวมถึงลูกตกแล้ว “ถอยหลัง” ซึ่งเป็นฟีลลิ่งที่แตกต่างจากการเล่นกอล์ฟบ้านเราชัดเจน ขณะที่ฟีลลิ่งของการพัตต์นั้นแม้จะรู้สึกได้ถึงความฟูของหญ้า แต่ก็กลับทำสปีดได้เร็วมาก เรียกว่าทั้งตกหยุด-พัตต์วิ่งแบบนี้ถือเป็นกรีนในฝันของนักกอล์ฟเลยก็ว่าได้

นอกจากนี้ความรู้สึกที่้แตกต่างกับการมาเล่นกอล์ฟที่ดาลัดคือ รู้สึกได้เลยว่า เราจะตีได้ไกลขึ้น ลูกกอล์ฟจะทำระยะได้มากขึ้น เนื่องจากพื้นที่ของดาลัดนั้นเป็นที่ราบสูง อากาศจะบางกว่า ลูกกอล์ฟจึงพุ่งทำระยะไปได้ไกลกว่านั่นเอง

The Dalat at 1200 Country Club สนามอยู่เชิงเขา และเปิดโล่งกว่า

อีกวันต่อมาเราได้เล่นกอล์ฟอีกหนึ่งสนามกันที่ The Dalat at 1200 Country Club สนามกอล์ฟเก่าแก่ที่ในทีแรกมีแค่ 9 หลุมเท่านั้น กระทั่งมาสร้างอีก 9 หลุมเพิ่ม ขณะที่ตัวเลข 1,200 นั้นมาจากการที่ตัวสนามนั้นอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 1,200 ฟุต

ในส่วนของเลย์เอ้าท์ของ The Dalat at 1200 Country Club จะอยู่ตั้งเชิงเขาติดกับเขื่อน และเปิดโล่งมากกว่าสนามแรก ส่วนความสมบูรณ์นั้นถือว่ายอดเยี่ยมเช่นเดียวกันกับ SAM Tuyen Lam Golf Club ส่วนของกรีนยังเป็นหญ้าเบ้นท์ที่ลูกตกถอยหลังเช่นกัน แต่รูปแบบการเล่นจะให้ความเป็นภูเขามากกว่า บางหลุมต้องขึ้นไปตีทางจากแท่นทีที่อยู่สูงมาก และเมื่อประกอบกับการที่เราจะตีได้ไกลขึ้นอยู่แล้วจากพื้นที่ที่เป็นราบสูง ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งครับที่คุณจะต้องเผื่อเหล็กให้พอดี และที่สำคัญคือ อากาศเย็นสบายมากอีกเช่นกัน

Dalat Palace Golf Club สนามกอล์ฟในเมืองที่ก็จัดว่าสวยและน่าเล่นมาก

ที่จริงแล้วดาลัดนั้นมีสนามกอล์ฟอยู่ทั้งหมด 3 สนาม โดยเรายังได้ไปเซอร์เวย์อีกหนึ่งสนามด้วย นั่นคือ Dalat Palace Golf Club ซึ่งแตกต่างไปเลยจาก 2 สนามแรก เนื่องจากเป็นสนามที่อยู่กลางเมือง มีความเป็นธรรมชาติน้อยกว่า แต่ตัวสนามก็ถือว่าสมบูรณ์มาก และเลย์เอ้าท์ก็ปั้นเนินให้ตีทางขึ้นทางลงได้น่าเล่นมาก ที่สำคัญที่สุดพวกเขาการันตีว่าที่นี่เป็นสนามเดียวในเซาธ์อีสต์เอเชียที่ใช้หญ้าทั้งแท่นที, แฟร์เวย์ และกรีนเป็นหญ้าเบ้นท์ทั้งหมด

วิวจิบกาแฟที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในโลก

ผ่านทั้ง 3 สนามแล้ว ถ้าไม่พูดถึงแหล่งท่องเที่ยวเลยก็คงจะไม่คุ้มกับการมาถึงดาลัดในครั้งนี้ สำหรับผม ดาลัดนั้นให้ความรู้สึกของการท่องเที่ยวที่เป็น “เวียดนาม” มากกว่าดานัง ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ หรือแม้แต่ในตัวเมืองก็ความเป็นท้องถิ่นของเวียดนามที่มากกว่า โดยทริปนี้เราได้ไปสัมผัสธรรมชาติทั้งน้ำตก Elephant Waterfall หรือฟาร์มทำกาแฟขี้ชะมดที่โด่งดังมากของที่นี่ แถมยังมีที่นั่งจิบกาแฟชมวิวที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในโลกอยู่ด้วย

King Palace พระราชวังของจักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม

หรือที่เที่ยวที่เป็นสถานที่ในเมืองอย่างวัดตั๊กลัม (Truc Lam Temple) ที่สามารถนั่งเคเบิลคาร์ขึ้นมาได้ด้วย, Crazy house บ้านรูปทรงประหลาดที่ยากจะอธิบายและต้องมาเห็นด้วยตาของตัวเอง และ King Palace พระราชวังของจักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนามก่อนเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ตลอดจนไนท์ไลฟ์ที่เป็นถนนคนเดินกลางเมือง ซึ่งต่างก็เป็นที่ที่น่าสนใจมาก หรือการชมบ้านเมืองของดาลัดที่สถาปัตยกรรมให้ความเป็นฝรั่งเศสอยู่พอสมควร และด้วยทิวทัศน์ที่ผู้คนที่นี่ปลูกบ้านกันตามไหล่เขาก็ให้ความสวยงามในแบบฉบับของดาลัดด้วยเช่นกัน

จากที่สัมผัสต้องยอมรับว่า ดาลัดนั้นให้ความรู้สึกที่แตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับดานัง โดยเฉพาะการให้ความรู้สึกของการมาท่องเที่ยวและการมาตีกอล์ฟที่ต่างประเทศมากกว่า โดยเฉพาะในส่วนของสนามกอล์ฟที่ทั้งรูปแบบ, พันธ์หญ้า รวมถึงสภาพอากาศที่แตกต่างอย่างมาก และถ้าหลังจากนี้มีใครมาถามผมว่า ระหว่าง “ดานัง” กับ “ดาลัด” ที่ไหนน่าไปมากกว่ากัน ขอตอบได้ทันทีเลยครับว่า

“ดาลัด” แน่นอน…