รู้ลักษณะสายพันธ์ “หญ้า” ช่วยลดสกอร์ได้
นักกอล์ฟเคยสังเกตไหมว่าหญ้าที่กำลังเหยียบในสนามกอล์ฟในแต่ละจุด หรือแต่ละสนามนั้น มีสัมผัสที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่บริเวณทีออฟ หญ้าแฟร์เวย์ รัฟ หรือแม้กระทั่งบนกรีน นอกจากความแตกต่างของสัมผัสที่เท้าเหยียบแล้ว การตีลูกบนหญ้าเหล่านี้ก็ให้ผลลัพท์ที่แตกต่างกันในแรงที่เท่ากันอีกด้วย ซึ่งหญ้าที่นิยมใช้ในสนามกอล์ฟนั้นมีอยู่ด้วยกันถึง 6 สายพันธุ์ด้วยกัน แต่ละสายพันธุ์จะให้สัมผัสแบบไหนบ้าง HotGolf จะขอมาแนะนำให้นักกอล์ฟได้วางแผนการเล่นกับหญ้าแต่ละสายพันธุ์กัน
1. หญ้าพันธุ์เบอร์มิวด้า (Bermuda)
พันธุ์หญ้าเบอร์มิวด้า เป็นหญ้าที่นิยมใช้ปูในสนามกอล์ฟมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง โดยหญ้าพันธุ์นี้ก็ได้รับความนิยมในประเทศไทย เพราะเป็นหญ้าที่สามารถปรับตัวได้ดี มีความแข็งแรงทนทาน ทนแดด ทนแล้ง มีลำต้นเกาะกลุ่มกันแน่น หากรู้สึกว่าหญ้าแน่นไปเพียงแค่เล็มหญ้าออกเท่านั้น โดยหญ้าเบอร์มิวด้านั้น มอบพื้นผิวสัมผัสที่กระชับ รวดเร็ว เป็นหญ้าที่เหมาะกับสนามกอล์ฟอย่างแท้จริง สามารถเล่นได้สบายใจ แม้หญ้าจะเริ่มยาวขึ้น อีกทั้งยังเปรียบเหมือนเบาะนิ่มๆ สำหรับนักกอล์ฟมือใหม่ที่พึ่งหัดเล่นอีกด้วย แต่ประเด็นก็คือ ยิ่งหญ้าเบอร์มิวด้าโตเท่าไหร่ ก็จะยิ่งแตกแขนงเยอะเท่านั้น ซึ่งส่งผลได้กับทุกอย่าง ตั้งแต่การกลิ้งบนแฟร์เวย์ไปจนถึงอัตราการตี และการตกบนกรีน ในช็อตใกล้จากแฟร์เวย์ เมื่อนักกอล์ฟสวิงเร็วขึ้น ก็อาจจะไม่รู้สึกถึงผลกระทบของใบที่แตกแขนงออกมาเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่กับบริเวณรอบๆ กรีนแน่ ซึ่งหญ้าเบอร์มิวด้าที่ยาวมากแล้ว ขึ้นชื่อว่าเป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่งของนักกอล์ฟเลย ซึ่งหากหญ้าล้มหรือตั้งขึ้นนั้น จะส่งผลให้เห็นชัดเจนเลยเวลาพัตต์ โดยวิธีดูหญ้าก็คือ หากหญ้านั้นดูสว่างๆ แปลว่ากำลังพัตต์ไปในแนวเดียวกับหญ้า แต่หากหญ้ามีโทนสีที่ทึบแปลว่าหญ้าอยู่คนละแนวตีซึ่งมันจะเป็นอุปสรรคเวลาพัตต์
2. หญ้าเบ็นท์กลาส (Bent Grass)
เป็นหญ้าที่ใช้ในสนามกอล์ฟบางแห่ง หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า “หญ้าฤดูหนาว” เป็นทางเลือกแรกของหญ้าสำหรับปลูกพืช หรือผักในทุกสภาพอากาศที่สามารถเจริญเติบโตได้ หญ้ามีลักษณะใบที่บางเมื่อโตแล้วจะดูแน่น และชิดกัน ให้ความรู้สึกเรียบเนียน โดยหญ้าพันธุ์นี้ทนต่ออากาศเย็นแต่ไม่ชอบความร้อน จึงไม่นิยมปลูกในไทย เมื่อเทียบกับหญ้าเบอร์มิวด้าแล้ว หญ้าเบ็นท์กลาสนั้นจะแตกใบน้อยกว่า และเหมือนกับหญ้าอื่นๆ ที่สามารถเล่นได้ตามฤดูกาลต่างๆ ขึ้นอยู่กับประเทศ สภาพภูมิอากาศ และเวลา แต่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และใบไม้ร่วง หญ้าเบ็นท์กลาสจะสวยที่สุด สัมผัสนุ่ม แน่นกระชับ และทำให้ลูกวิ่งได้เร็วบนแฟร์เวย์ และกรีน
3. หญ้าเฟสคิว (Fescue)
หญ้าเฟสคิวเป็นหญ้าที่พบได้ในป่าส่วนใหญ่ เป็นต้นสนยุโรป และอีกที่ทีพบก็คือเป็นบริเวณที่นักกอล์ฟไม่อยากจะตีลูกตกลงไปสักเท่าไหร่ เพราะเป็นหญ้าสูง ยาว สีเหลืองทอง มักใช้ประดับข้างสนามกอล์ฟในประเทศไทย หรือปลูกในบริเวณรัฟ แต่หญ้าเฟสคิวนั้น ก็ให้ความรู้สึกที่วิเศษมากเหมือนกันในรูปแบบหญ้าสั้น ตีได้ดีบนแฟร์เวย์ กรีน และบนแท่นทีออฟในทุกๆ ฤดูกาล โดยหญ้าที่ใช้ในสนามนี้ดูแลได้ง่าย โตช้า กว่าหญ้าชนิดอื่นๆ อีกทั้งยังต้องการน้ำน้อยอีกด้วย ในส่วนของการเล่นบนพื้นหญ้านี้ เรียกได้ว่าเหมาะกับคนที่ชอบหญ้าแบบแน่นๆ โดยหญ้านั้นมีความแน่นและเด้งเหมือนตอนที่กำลังตีกอล์ฟข้ามบ่อน้ำ
4. หญ้าซอยเซีย (Zoysia)
หญ้าซอยเซีย ซึ่งหญ้าในกลุ่มนี้ได้แก่ หญ้าญี่ปุ่น หญ้านวลน้อย และหญ้ากำมะหยี่ โดยหญ้าตระกูลนี้จะมีใบหยาบ และแข็ง ตัดยาก ส่วนหญ้าญี่ปุ่นจะแตกเป็นฝอยลึกปานกลาง ชอบดินที่ระบายน้ำได้ดี ทนความร้อนและความแห้งแล้ง ทนร่มเงาได้พอสมควร นิยมปลูกบนกรีน หญ้านวลน้อยใบละเอียดกว่าหญ้าญี่ปุ่น แตกงอปานกลางทนต่อความแห้งแล้ง ใบสีเขียวเข้ม ทนต่อร่มเงา มีความแน่นเมื่อแตกกอ มักปลูกบนแฟร์เวย์ ส่วนหญ้ากำมะหยี่ ใบละเอียดแตกกอแน่นที่สุด โตช้าจึงไม่นิยมใช้ทำหญ้าในสนามกอล์ฟ ในส่วนของผิวสัมผัสของหญ้าซอยเซียนั้น ลูกกอล์ฟจะเต็งตึงเมื่อตี ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโกงอยู่ แต่ในอีกมุมหนึ่งหญ้าซอยเซียนั้นก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหญ้าที่ “เหนียวติดลูก” ด้วยตัวใบที่แข็ง และแน่น นักกอล์ฟอาจจะรู้สึกว่าตีลูกได้ดีแล้ว ลูกจะต้องกลิ้งวิ่งดีมากแน่ๆ แต่ทันใดนั้นเองใบหญ้าซอยเซียก็คว้าลูกบอลของนักกอล์ฟให้หนืดลงแล้วหยุดเสียอย่างนั้น
5. หญ้าปัวแอนัว (Pua annua)
หญ้าปัวแอนัว โตได้ดีในฤดูใบไม้ร่วง หรือช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ หญ้าปัวแอนัวเติบโตอย่างรวดเร็ว และผลิดอกออกเมล็ดได้ไวมากทำให้กรีนอาจจะเป็นหลุมได้ หญ้าปัวแอนัวนั้น ไม่เพียงแต่ทนต่อสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อย และชื้นเท่านั้น ยังทนทานต่อแรงเหยียบอีกด้วย หญ้าชนิดนี้ให้สัมผัสที่ดีเมื่อจรดลูกตี นักกอล์ฟจะไม่สามารถหาหญ้าชนิดไหนที่ดีไปกว่านี้ได้เลยบนกรีนเมื่อพัตต์
6. หญ้าไรย์ (Rye Grass)
ถ้าหญ้าเบนท์และหญ้าเบอร์มิวด้าเป็นตัวยอดนิยมที่นำมาใช้ในสนามกอล์ฟ หญ้าไรย์ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน แต่ไม่ค่อยนิยมปลูกในสนามกอล์ฟไทยเท่าไหร่ เพราะไม่ทนความร้อน โดยหญ้าไรย์ นั้นต้องการน้ำอย่างเพียงพอ ไม่ค่อยทนในสภาพอากาศที่ร้อน และถ้าตัดหญ้าต่ำเกินไป มันจะไม่กันพวกศัตรูพืชด้วย หญ้าไรย์นั้นให้สัมผัสที่แน่น และนุ่มเมื่อต้องใช้ไม้สวิงผ่าน แต่ก็เช่นเดียวกัน หญ้าไรย์จะมีความเหนียวเล็กน้อยถ้าเกิดต้องตีลูกชิพจะรู้สึกได้ชัดเจน หญ้าไรย์จึงไม่นิยมมาทำเป็นกรีนแต่จะใช้บริเวณแฟร์เวย์เสียมากกว่า
หญ้าชนิดต่างๆ ต่างก็ให้ผลลัพท์ และความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปเมื่อจรดลูกตี แน่นอนว่าสัมผัส และความรู้สึกในการตี ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากที่จะทำให้สกอร์ของนักกอล์ฟเพิ่ม หรือต่ำลงได้ เช่น คุณอาจจะกะแรงพัตต์พอดีแล้ว และเห็นลายกรีนชัด แต่หญ้าดันล้มมาคนละทางกับที่นักกอล์ฟกำลังพัตต์ทำให้ลูกวิ่งไปหยุดอยู่หน้าหลุมอย่างน่าเสียดาย นั่นเอง เพราะฉะนั้นการรู้จักมักคุ้นกันหญ้าพวกนี้บ้างก็จะช่วยให้นักกอล์ฟนำมาปรับการสวิง การตีให้เหมาะ และช่วยลดสกอร์ได้นั่นเอง
**ค้นหาโปรโมชั่นสนามกอล์ฟจากทั่วประเทศที่ HotGolf รวบรวมไว้มากที่สุดได้ที่กลุ่ม Line OpenChat #GreenFeeMart กลุ่มรวมโปรโมชั่นสนามกอล์ฟคลิก https://bit.ly/2MnVBYz