กลายเป็นชื่อที่ถูกพูดมากที่สุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้ สำหรับ “โปรเหมียว” ปภังกร ธวัชธนกิจ กับผลงานประวัติศาสตร์ กลายเป็นนักกอล์ฟสาวไทยเพียงคนที่ 2 ที่ได้สัมผัสกับโทรฟี่แชมป์เมเจอร์ ด้วยการคว้าแชมป์รายการเอเอ็นเอ อินสไปเรชั่น ทั้งที่ลงเล่นในฐานะรุกกี้ด้วยซ้ำ
โปรเหมียว คว้าแชมป์ด้วยฟอร์มที่สุดยอดมาก โดยเฉพาะการลงเล่นภายใต้ความกดดัน เมื่อถูก ลีเดีย โค ที่ท็อปฟอร์มในวันสุดท้ายมาไล่จี้เหลือห่างเพียงแค่ไม่กี่สโตรก แต่สุดท้ายโปรสาววัยเพียง 21 ปีก็โชว์ความนิ่งเกินอายุ ด้วยการเล่นที่แทบไม่ผิดพลาดเลย ไม่มีหลุดเสียโบกี้ จนคว้าแชมป์ไปครองได้ในท้ายที่สุด
เชื่อว่าไม่มีใครกังขากับฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมของ โปรเหมียว ซึ่งฉายแววความโดดเด่นมาตั้งแต่สมัยเยาวชน จนถึงระดับมหาวิทยาลัย และโดดเด่นอย่างต่อเนื่องเมื่อลงแข่งขันในทัวร์รองอย่างซีเมตร้าทัวร์
อย่างไรก็ตาม มีหลายคน ทึ่ง อึ้ง และรู้สึกแปลกใจนิดๆ กับสถิติไดร์ฟเฉลี่ย 323 หลาที่ โปรเหมียว ทำได้จากตลอด 4 วันของการแข่งขัน
สถิติไดร์ฟเฉลี่ย 323 หลา ถูกยืนยันโดยเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของแอลพีจีเอทัวร์ โดยคิดเฉลี่ยจากสถิติไดร์ฟเฉลี่ยแต่ละวัน ทั้ง 4 วัน ไล่ตั้งแต่วันแรกสถิติไดร์ฟเฉลี่ย 291 หลา, วันที่ 2 สถิติไดร์ฟเฉลี่ย 339 หลา, วันที่ 3 สถิติไดร์ฟเฉลี่ย 348 หลา และวันที่ 4 สถิติไดร์ฟเฉลี่ย 313 หลา
รวมแล้วเฉลี่ย 4 วัน อยู่ที่ 322.75 หลา ปัดขึ้นเป็น 323 หลา
ต้องยอมรับว่านี่คือสถิติที่เพิ่มแบบก้าวกระโดด เนื่องจากก่อนการแข่งขัน ผู้นำสถิติไดร์ฟเฉลี่ยจากทั้งฤดูกาลคือ Bianca Pagdanganan นักกอล์ฟสาวชาวฟิลิปปินส์ นั้นมีสถิติไดร์ฟเฉลี่ยทั้งฤดูกาลอยู่ที่ราว 285 หลา
แต่ทั้งนี้ การดูสถิติไดร์ฟต้องพิจารณาจากหลายด้าน เนื่องจากมีหลายองค์ประกอบที่ทำให้นักกอล์ฟสามารถไดร์ฟได้ไกลขึ้น หรือไดร์ฟได้สั้นลง
ไล่ตั้งแต่ตัวสนามแข่งขัน และรูปแบบการเซ็ตสนาม เช่น พื้นแฟร์เวย์ที่แข็งจะช่วยให้ลูกตกแล้ววิ่งได้มากกว่าพื้นแฟร์เวย์ที่นุ่ม หรือสนามกอล์ฟที่มีแฟร์เวย์กว้าง ก็จะเปิดโอกาสให้นักกอล์ฟสามารถเร่งสปีดไดรเวอร์ได้มากขึ้น เมื่อเทียบกับสนามกอล์ฟแฟร์เวย์แคบๆ ที่รอบข้างเต็มไปด้วยอุปสรรค
รวมถึงประเด็นอุปสรรคเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาด้วยเช่นกัน เช่น ถ้าสนามกอล์ฟไม่ได้เซ็ตรัฟไว้หนาและยาวมาก ก็จะเปิดโอกาสให้ผิดพลาดได้มากขึ้น นักกอล์ฟก็จะกล้าเร่งไดรเวอร์เล่นเกมบุกได้มากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยมาก แม้แต่การได้ออกรอบตอนบ่ายก็จะมีลมเข้ามามีผลกว่าออกรอบตอนเช้า หรือความสูงของสนามเหนือน้ำทะเล, อากาศร้อน-ความชื้นในอากาศ มันมีหลายปัจจัยอย่างมากที่จะทำให้นักกอล์ฟคนเดียวกันมีสถิติไดร์ฟในรายการหนึ่งมากกว่าอีกรายการหนึ่ง
แต่ทั้งหมดทั้งปวง ต้องให้เครดิตกับนักกอล์ฟ นั่นคือ โปรเหมียว ด้วยว่าเธอเป็นนักกอล์ฟที่มีเกมไดร์ฟดีมากๆ สถิติไดร์ฟไกลเฉลี่ยเป็นอันดับหนึ่งของการแข่งขัน ถือเป็นเรื่องที่ยืนยันได้เป็นอย่างดี
ในเกมกอล์ฟมีสำนวนว่า Drive for show, putt for dough ตีความง่ายๆ ว่า ถึงไดร์ฟไกลอย่างเดียวก็ไม่ได้ช่วยให้คุณได้เงินหรือได้แชมป์ แต่ต้องมาพร้อมกับเกมด้านอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะกับความแม่นยำ ซึ่งทั้้งสองอย่างนี้มีอยู่ในเกมไดร์ฟของ โปรเหมียว
แม้แต่ ชานชาน เฟิง ที่ได้ออกรอบร่วมกันในรอบที่ 3 ของการแข่งขัน ยังยอมรับว่ารู้สึกทึ่งกับเกมไดร์ฟของ โปรเหมียว เนื่องจากโดยปกติแล้ว นักกอล์ฟที่ไดร์ฟไกล มักจะขาดความแม่นยำ ยิ่งไดร์ฟไกลมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งไดร์ฟเข้าแฟร์เวย์น้อยลง แต่ โปรเหมียว ทั้งไดร์ฟไกลและแม่นแฟร์เวย์ด้วย
อย่างไรก็ตาม เกมไดร์ฟไม่ใช่จุดเด่นเพียงจุดเดียวของเธอ แต่คือ “ความครบเครื่อง” ดูได้จากสถิติเรกูลาร์ออน 61 หลุมจากทั้งหมด 72 หลุมของการแข่งขัน
โดยเฉพาะวันสุดท้ายที่แม้จะเล่นภายใต้ความกดดัน แต่ก็ยังเรกูลาร์ออนได้ 16 จาก 18 หลุม
สถิติเรกูลาร์ออนนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับสถิติไดร์ฟไกล เพราะช่วยให้สามารถขึ้นกรีนได้ด้วยระยะที่สั้นลง และเบอร์เหล็กที่สั้นลง โดยที่ โปรเหมียว ยอมรับว่ามันช่วยให้เธอเอาชนะสนามได้ง่ายขึ้น เมื่อต้องขึ้นกรีนด้วยเหล็ก 9 แทนที่จะเป็นเหล็ก 7
ความครบเครื่องของ โปรเหมียว ยังรวมถึงเรื่องการวางแผนการเล่น อย่างที่เห็นแล้วว่าแม้ว่า โปรเหมียว จะเป็นนักกอล์ฟที่ไดร์ฟไกลมาก แต่หลายหลุมเธอเลือกทีช็อตด้วยหัวไม้สาม เพราะแน่นอนกว่า และทำให้วางตัวในจุดที่ต้องการได้แม่นยำกว่า แสดงให้เห็นถึงการเล่นที่วางแผนมาเป็นอย่างดี ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมบุกเพียงอย่างเดียว
รวมไปจุดเด่นในเรื่องเกมข้างกรีนด้วยเช่นกัน เช่น ช็อตชิพอินอีเกิ้ลในหลุม 2 ของวันสุดท้าย ขณะที่การแข่งขันตลอดทั้ง 4 วัน เธอเสียไปเพียง 4 โบกี้เท่านั้น
เกมไดร์ฟไกลของ โปรเหมียว คือปรากฎการณ์อย่างแท้จริง และทำให้เธอได้เปรียบคนอื่น
แต่คือความครบเครื่องที่ทำให้เธอได้แชมป์…
**สั่งซื้อสินค้ากอล์ฟออนไลน์ผ่าน HotGolf Shop สอบถามสินค้าได้ที่คลิก https://line.me/R/ti/p/%40hotgolf