กำลังจะเปิดฉากขึ้นในวันนี้แล้ว สำหรับเมเจอร์รายการส่งท้าย “ดิ โอเพ่น ครั้งที่ 149” ณ สนามกอล์ฟรอยัล เซนต์จอร์จ ในเมืองแซนด์วิช, เค้นท์ ประเทศอังกฤษ
รอยัล เซนต์จอร์จ เป็นสนามกอล์ฟเก่าแก่ ถูกสร้างขึ้นเมื่อตั้งแต่ปี 1887 และถือเป็นสนามแรกนอกสกอตแลนด์ที่ได้รับเลือกให้จัดการแข่งขัน ดิ โอเพ่น ในปี 1894 กระทั่งปัจจุบันที่จัดมาแล้ว 14 ครั้ง มันจึงเป็นสังเวียนการแข่งขันที่เต็มไปเรื่องเล่าอย่างมากมาย
ลิงค์คอร์สขนานแท้
รอยัล เซนต์จอร์จ เป็นสนามกอล์ฟสไตล์ลิงค์คอร์สแบบดั้งเดิมแท้ๆ ด้วยการสร้างจากพื้นที่สันทรายขนาดใหญ่ อยู่ติดทะเล ลมแรง ทำให้ไม่มีต้นไม้ใหญ่ และเต็มไปด้วย Waste Area
ความยากของลิงค์คอร์สแบบ รอยัล เซนต์จอร์จ คือ ลมที่แรง และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เสริมด้วยการออกแบบเลย์เอ้าท์ที่หลายหลุมต้องเล่นแบบ Blind Shot ซึ่งเสี่ยงอย่างยิ่งกับรัฟที่สามารถกลืนกินลูกกอล์ฟให้หายไปในพริบตา หรือแม้แต่การไดร์ฟเข้าหาแฟร์เวย์ที่หลายครั้งใช่ว่าจะปลอดภัย ด้วยเนินสโลปที่สามารถส่งลูกกอล์ฟกลิ้งเข้าไปหารัฟได้เช่นกัน
หนึ่งในไฮไลท์ที่นักกอล์ฟทุกคนต้องระวังคือ บังเกอร์ความสูงขนาด 40 ฟุตที่หลุม 4 ที่มีชื่อที่บ่งบอกความอันตรายของมันได้อย่างดีว่า “หิมาลัย”
สนามกอล์ฟที่เนรมิตแชมป์ที่ไม่มีคาดคิด
สองครั้งหลังสุดที่ รอยัล เซนต์จอร์จ จัดการแข่งขัน ดิ โอเพ่น คือ ในปี 2003 และ 2011 ที่จบลงอย่างพลิกล็อกทั้งสองครั้ง เมื่อได้แชมป์ที่ไม่มีใครคิดถึงทั้งสองครั้ง
ปี 2003 แชมป์ตกเป็นของ เบน เคอร์ติส นักกอล์ฟม้ามืดชาวสหรัฐฯ ที่ลงเล่น ดิ โอเพ่น เป็นครั้งแรก และมาร่วมแข่งขันในฐานะมืออันดับ 396 ของโลก เขาแซงเอาชนะ โธมัส บียอห์น ที่นำ 2 สโตรกหลังเหลือเล่น 3 หลุม จากที่่ฝ่ายหลังไปพลาดตีลูกติดบังเกอร์ถึง 3 ครั้งในหลุม 16
ส่วนการแข่งขันปี 2011 แชมป์เป็นของ ดาร์เรน คลาร์ก นักกอล์ฟวัย 42 ปีที่ใครหลายคนปรามาสว่าเลยจุดสูงสุดไปแล้ว แถมสภาพจิตใจย่ำแย่จากการสูญเสียภรรยาไปด้วยโรคมะเร็งในปี 2006 แต่ คลาร์ก เจ้าของอัตราราคาการเป็นแชมป์ที่ 200-1 ก็เอาชนะนักกอล์ฟสองคนที่เก่งมากๆ อย่าง ดัสติน จอห์นสัน กับ ฟิล มิคเคลสัน คว้าแชมป์ไปได้ในปีนั้น
สนามกอล์ฟที่ทำให้ ไทเกอร์ วูดส์ ตีลูกหายเป็นครั้งแรกในชีวิต
ย้อนกลับไปที่การคว้าแชมป์ของ เคอร์ติส ในปี 2003 แชมป์อาจจะไม่ใช่เขาก็ได้ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์จุดเปลี่ยนตั้งแต่ช็อตแรกที่หลุมแรกของ ไทเกอร์ วูดส์
ไทเกอร์ ประเดิมช็อตแรกของการแข่งขันในวันพฤหัสบดี ด้วยการตีลูกเข้าไปรัฟขวามือ ไม่มีผู้ชมคนไหนเห็นจุดตกของลูก และด้วยรัฟที่ทั้งหนาและยาวตามสไตล์ลิงค์คอร์ส สุดท้ายเขาก็หาลูกไม่เจอ และเป็นการทำลูกกอล์ฟหายครั้งแรกในอาชีพนักกอล์ฟของ ไทเกอร์ อีกด้วย
ลูกกอล์ฟรุ่นท็อปที่ปกติราคาเฉลี่ยไม่ถึงลูกละ 200 บาท แต่เมื่อเป็นลูกกอล์ฟที่ ไทเกอร์ ตีหายเป็นครั้งแรกในชีวิต แน่นอนว่ามูลค่ามันต้องมากกว่านั้นเ เมื่อมีเจ้าหน้าที่ของสนามมาหามันเจอจนได้ โดยเป็นลูกกอล์ฟ Nike ที่มีการปั้มชื่อ “Tiger” เอาไว้
สุดท้ายแล้วเขานำลูกกอล์ฟลูกนั้นไปขายให้กับหนังสือพิมพ์แท็ปลอยด์ The Sun ที่ยอมทุ่มทุนซื้อลูกกอล์ฟไปด้วยเงินจำนวนสูงถึง 8,000 ปอนด์ หรือกว่า 360,000 บาทเลยทีเดียว
สนามกอล์ฟของ “เจมส์ บอนด์”
เซอร์เอียน เฟลมมิ่ง นักประพันธ์นวนิยายเรื่อง เจมส์ บอนด์ 007 เป็นหนึ่งในคนดังที่ชอบเล่นกอล์ฟ และหนึ่งในสนามกอล์ฟที่เขาผูกพันธ์มากที่สุดคือ รอยัล เซนต์จอร์จ
ในตอน “โกลด์ฟิงเกอร์” ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1959 เซอร์เอียน นำสนามกอล์ฟรอยัล เซนต์จอร์จ มาใส่ในนวนิยายของเขาด้วยในชื่อ “รอยัล เซนต์มาร์ค” โดยเป็นช่วงที่ บอนด์ เอาชนะพนันเกมกอล์ฟตัวร้ายในเรื่อง โกลด์ฟิงเกอร์ ซึ่งต่อมายังทำให้ ฌอน คอนเนอรี่ ที่มารับบท 007 ในฉบับภาพยนตร์ ต้องฝึกตีกอล์ฟเพื่อเข้าฉากนี้ และกลายเป็นชอบเล่นกอล์ฟไปด้วยเลยหลังจากนัั้น
**สั่งซื้อสินค้ากอล์ฟออนไลน์จากทุกแบรนด์ชั้นนำ ผ่าน HotGolf Shop สอบถามสินค้าได้ที่คลิก https://line.me/R/ti/p/%40hotgolf